![]() |
ที่มาภาพ: http://www.thapra.lib.su.ac.th/ |
พระอุมา หรือพระศรีอุมาเทวี เป็นเทวีองค์สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในปัจจุบันนับถือกันว่าพระองค์เป็นชายาของพระศิวะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย พระอุมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเทวีที่มีฐานะสูงสุดในลัทธิศักติ อันเป็นลัทธิที่มีการนับถือเทพสตรีซึ่งถือว่าเป็นพลังอำนาจให้กับเทพฝ่ายชาย ในยุคพระเวทตอนปลายมีการนับถือเทพสตรีในฐานะชายาของเทพบุรุษมากขึ้น โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างสรรค์และก่อกำเนิดความอุดมสมบูรณ์ให้กับโลก
![]() |
อุมามเหศวร ที่มาภาพ: http://www.thapra.lib.su.ac.th/ |
เมื่ออารยธรรมอินเดียได้แพร่มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คติการบูชาพระอุมาได้รับความนิยมโดยปรากฏในงานศิลปกรรมในดินแดนต่างๆ ที่มีการติดต่อค้าขายและรับอารยธรรมมาจากอินเดีย ในดินแดนไทยมีร่องรอยการนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเรื่อยมา และพบงานศิลปกรรมเกี่ยวกับพระอุมาหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะสมัยอิทธิพลศิลปะเขมรในประเทศไทยที่มีการพบประติมากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระอุมาหลากหลายรูปแบบ
รูปเคารพที่เกี่ยวเนื่องกับพระอุมามักปรากฏใน 2 รูปแบบคือ หนึ่ง ปรากฏในลักษณะเทวีที่เป็นเอกเทศ และสอง ปรากฏร่วมกับพระศิวะ หากปรากฏในลักษณะเทวีที่เป็นเอกเทศ มักปรากฏเป็นหญิงสาวที่มีลักษณะงดงามมีทั้งประทับนั่งและยืน ทรงอาภรณ์และเครื่องประดับต่างๆ
ตัวอย่างประติมากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระอุมา จำนวน 3 องค์ ดังนี้
1. พระอุมาจากอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
![]() |
พระอุมาจากอำเภออรัญประเทศ ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด ที่มาภาพ: http://www.thapra.lib.su.ac.th/ |
สลักจากศิลาขนาดสูง 117 เซนติเมตร พระเทวีชำรุดที่พระเศียรและพระกร พระถันกลมกลึง ประทับยืนสมภังค์ ทรงภูษายาวแนบพระวรกาย ขอบผ้านุ่งด้านบนขมวดเป็นปม มีจีบหน้านางยาวจรดข้อพระบาทปลายทบกันเป็นเขี้ยวตะขาบ เทียบได้กับศิลปะเขมรแบบสมโบร์ไพรกุก กำหนดอายุได้ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 12
2. พระอุมาจากปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์
![]() |
พระอุมาจากปราสาทพนมรุ้ง ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่มาภาพ: http://www.thapra.lib.su.ac.th/ |
สลักจากศิลาขนาดสูง 66 เซนติเมตร พระเทวีทรงประทับยืนสมภังค์ พระพักตร์ค่อนไปทางรูปสี่เหลี่ยม พระเนตรหลุบต่ำ พระนาสิกใหญ่ พระกรรณยาวเกือบจรดพระอังสา เกล้าพระเกศารวบมวยเป็นทรงกระบอกมีลูกประคำรัดที่เชิงมวย พระถันอวบอิ่ม พระกรทั้งสองข้างหัก ทรงนุ่งพระภูษาจับจีบเป็นริ้วยาวถึงข้อพระบาท ขอบภูษาเว้าต่ำด้านหน้าทำเป็นจีบหน้านางปลายเป็นรูปหางปลายาวเกือบจรดภูษาด้านล่าง มีสายรัดพระโสณี ขอบด้านบนของพระภูษามีการชักชายพกออกมาเล็กน้อย เทียบได้กับศิลปะเขมรแบบบาปวน กำหนดอายุได้ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15 - ต้นพุทธศตวรรษที่ 16
3. พระอุมาจากปราสาทพนมวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
พระอุมาจากปราสาทพนมวัน ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย ที่มาภาพ: http://www.archae.su.ac.th/ |
สลักจากหินทรายขนาดสูง 70 เซนติเมตร พระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยม พระเนตรเปิด พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์หนา พระกรรณยาวเกือบจรดพระอังสา เกล้าพระเกศารวบมวยเป็นทรงกระบอกมีลูกประคำรัดที่เชิงมวย มีอุณหิศคาดรอบพระเศียรมีเชือกเป็นปมอยู่ด้านหลัง เทวีประทับยืนสมภังค์ พระถันอวบอิ่ม พระหัตถ์ขวาที่คว่ำลงนั้นอาจทรงคทาและพระหัตถ์ซ้ายที่หงายขึ้นและจีบนิ้วพระหัตถ์อาจทรงธรณีหรือก้อนดิน ทรงนุ่งภูษาจับจีบหน้านางปลายเป็นรูปหางปลายาวเกือบจรดภูษาด้านล่าง บั้นพระองค์ประดับด้วยเพชรพลอยห้อยเป็นชายอุบะ ขอบด้านบนของพระภูษามีการชักชายพกย้อนเป็นก้นหอยที่พระโสณีด้านซ้าย เทียบได้กับศิลปะเขมรแบบบาปวนตอนปลาย - ต้นสมัยนครวัด กำหนดอายุได้ราว พ.ศ. 1600-1650
จะพบได้ว่าประติมากรรมพระอุมาสมัยอิทธิพลศิลปะเขมรในดินแดนประเทศไทย กำหนดอายุได้ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-18 นั้น จะมีอิทธิพลของศิลปะเขมรมากกว่าอินเดีย และรูปแบบประติมานวิทยาของพระอุมาในดินแดนไทยจะใกล้เคียงกับศิลปะเขมรและต่างไปจากอินเดียซึ่งเป็นต้นแบบ การพบประติมากรรมพระอุมาที่มีลักษณะร่วมแบบศิลปะเขมรที่มีวิวัฒนาการทางศิลปะอย่างต่อเนื่องควบคู่กันไปนี้จึงเป็นหลักฐานความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่าง 2 ดินแดนได้เป็นอย่างดี
แหล่งอ้างอิง
เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว. 2559. ความเชื่อและรูปแบบงานศิลปกรรมพระศรีอุมาเทวีในประเทศไทย. วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร, ฉบับภาษาไทย. ปีที่ 36 ฉบับที่ 2.
เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว. 2558. การศึกษาประติมากรรมพระอุมาสมัยอิทธิพลศิลปะเขมรในประเทศไทย. วารสารดำรงวิชาการ, มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปีที่ 14 ฉบับที่ 1.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น